ภาพยนตร์ที่ดีที่สุดแห่งปี 2018
ถึงแม้ว่าภาพยนตร์แอคชั่นจะมีความรุนแรงแค่ไหน แต่การใช้คอมพิวเตอร์ในการสร้างและจำลองเหตุการณ์ต่างๆที่ปรากฎอยู่บนจอแสดงผลหลากหลายแบบก็ยังคงดูสมจริงมาก และนี่จึงถือว่าเป็นช่วงเวลาแห่งประวัติศาสตร์ที่น่าสนใจสำหรับภาพยนตร์แอคชั่นในยุคนี้ ขณะที่สตูดิโอรายใหญ่ๆได้ทุ่มเททรัพยากรของตนเองอย่างเต็มที่ไปกับการนำการ์ตูนซุปเปอร์ฮีโร่ยักษ์มาทำเป็นภาพยนตร์ อย่างเช่น Avengers: Infinity War หรือหนังไซไฟเกินจริง อย่างเช่น Ready Player One ภาพยนตร์ประเภทนี้ได้รับความนิยมสำหรับแฟนๆที่คอยเฝ้าดูการเปิดตัวสตรีมมิ่งเพื่อออกไปสู่ความต้องการกันอย่างเนืองแน่น รวมไปถึงการส่งออกระหว่างประเทศ ถือว่าเป็นช่วงขาขึ้นของการสร้างสรรค์ภาพยนตร์แอคชั่นจริงๆ หน้าที่ของคุณมีเพียงแค่ต้องรู้ว่าจะหาชมภาพยนตร์เหล่านี้ได้จากที่ไหนเท่านั้นเอง
หวังว่ารายการด้านล่างนี้ที่เราจะนำมาอัพเดทให้ได้ชมกันตลอดทั้งปี ซึ่งก็เหมือนกับรายการภาพยนตร์อื่นๆของเรา จะทำให้คุณสามารถบริหารจัดการงานและเคลียร์ตัวเองให้ว่างได้ คุณจะเห็นว่าเราพิจารณา “ภาพยนตร์แอ๊คชั่น” ว่าเป็นแนวคิดที่ไม่ตายตัว และสามารถครอบคลุมไปถึงเรื่องราวหลากหลายประเภทไม่ว่าจะเป็นภาพยนตร์ระทึกขวัญ ภาพยนตร์แนวสายลับ ภาพยนตร์ซูเปอร์ฮีโร่ ภาพยนตร์ตลกของกลุ่มเพื่อน หรือภาพยนตร์สยองขวัญ แล้วอะไรที่ทำให้ภาพยนตร์เหล่านี้จัดอยู่ในภาพยนตร์แอ๊คชั่นได้ คำตอบอยู่ในคอนเท้นท์ด้านล่างนี้แล้วมาดูกันเลย
ภาพยนตร์: Deadpool 2 (เดดพูล)
เผยแพร่: 18 พฤษภาคม
นักแสดง: ไรอัน เรย์โนลส์, จอช โบรลิน, โมรีนา แบคคาริน, จูเลียน เดนนิสัน, แซสซี่ บีทซ์
ผู้อำนวยการสร้าง: เดวิด เลตช์ (Atomic Blonde บลอนด์ สวยกระจุย)
ทำไมภาพยนตร์เรื่องนี้ถึงเยี่ยมยอด มีสิ่งที่น่าสนใจใน Deadpool 2 บทภาพยนตร์ล่าสุดจาก X-Men ที่มีความรุนแรงและดุดันซึ่งได้มีภาคแยกออกไปเป็นซีรีส์หลายเรื่อง โดยเรื่องนี้อดีตนักฆ่าผู้โด่งดังแต่สุดท้ายแล้วหันมาเอาดีด้านการเป็นฮีโร่ นำแสดงโดยไรอัน เรย์โนลส์ที่สวมใส่ชุดสูทสีแดง หันไปหาผู้ชม แล้วพูดว่า “ฉากต่อสู้ CGI ที่ยิ่งใหญ่กำลังจะมาถึงในเร็วๆนี้” แน่นอนว่าเขาไม่ได้ล้อเล่น เรื่องนี้เต็มไปด้วยเซอร์ไพรส์และมุกตลกแบบที่คนยุคนี้ต้องอินมากเลยทีเดียว เดดพูลได้หลุดคำหยาบออกมามากมายโดยเฉพาะตอนที่คุยกับโคลอสซัสมนุษย์กลายพันธุ์ร่างเหล็กทรงพลัง การเล่าเรื่องผ่านตัวละคร Deadpool 2 ในภาคนี้ทำได้ดีมาก ในแต่ละฉากจะมีการยิงมุขตั้งแต่ต้นเรื่องยันจบเรื่อง มีทั้งแซว ทั้งแซะ ทั้งการอ้างอิงมาจากหนังเรื่องต่างๆมากมายในระหว่างฉากแอคชั่นได้เป็นอย่างดี ผู้กุมกุญแจหนังทั้งเรื่องคือไฟร์เออร์ฟิสต์ (เดนิสัน) มนุษย์กลายพันธุ์เด็กเกรียนสุดกวนที่เดดพูลจะต้องเข้าไปช่วยเหลือให้รอดพ้นจากเงื้อมมือของเคเบิล (โบรลิน) ผู้สามารถหายตัวข้ามกาลเวลาได้ ทั้งยังเป็นเป็นมนุษย์กลายพันธุ์แขนเหล็ก เรียกได้ว่าภาคนี้มันส์ยกกำลังแน่นอน เพราะเดดพูลจะมีการรวมตัวกับแก๊งใหม่อย่าง “X-Force” ซึ่งหนึ่งในนั้นก็มีโดมิโน นักฆ่าสาวผู้มีพลังควบคุมโชคชะตา (แซสซี่ บีทซ์) เหล่า X-Forece มีหน้าที่ทำภารกิจให้สำเร็จโดยไม่สนใครหน้าไหนทั้งนั้น การต่อสู้ที่ใช้เทคนิค CGI ในการสร้างทำให้เราได้เห็นงานภาพด้านคอมพิวเตอร์กราฟฟิกอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อน และความบันเทิงตลอด 90 นาทีของภาพยนตร์เรื่องนี้รับรองว่าจะไม่ทำให้คุณผิดหวังอย่างแน่นอน
ภาพยนตร์: Incredibles 2 (รวมเหล่ายอดคนพิทักษ์โลก 2)
เผยแพร่: 15 มิถุนายน
นักแสดง: เคร็ก ที เนลสัน, ฮอลลี ฮันเตอร์, ซาราห์ โวเวลล์, ฮัค มิลเนอร์
ผู้อำนวยการสร้าง: แบรด เบิร์ด (The Incredibles รวมเหล่ายอดคนพิทักษ์โลก)
มีอะไรพิเศษในเรื่องนี้ ผลงานล่าสุดที่แบรด เบิร์ดเขียนบทและกำกับเอง ที่ถึงแม้จะสร้างห่างจากภาคแรกนานถึง 14 ปี แต่ก็ยังคงกระแสความนิยมได้อย่างล้นพ้น ถือว่าเป็นภาพยนตร์ภาคต่อของ The Incredibles ที่ใช้เวลานานที่สุดตั้งแต่ค่ายดิสนีย์และพิกซาร์เคยทำออกมาเลยทีเดียว รวมไปถึงเรื่องราวความบันเทิงที่ให้ความสนุกสนานกับผู้ชมทุกวัยอย่างมิชชั่น:อิมพอสซิเบิ้ล และมิชชั่น:อิมพอสซิเบิ้ล ปฏิบัติการไร้เงา ซึ่งนำแสดงโดยทอม ครูซ ต่างเป็นเครื่องรับประกันความสำเร็จในการสร้างภาพยนตร์แอนิเมชันของแบรด เบิร์ด อีกทั้งยังมีลุ้นที่จะได้ขึ้นชาร์ตอันดับภาพยนตร์ทำเงิน และได้รับรางวัลจากเวทีต่างๆอย่างแน่นอน นอกจากนั้นแล้วในเรื่องยังมีภารกิจกู้ภัยทางรถไฟที่นำโดยอีลาสติกเกิร์ลภรรยาของ Mr.Incredible ซึ่งนำแสดงโดย ฮอลลี ฮันเตอร์ที่จะทำให้เจมส์ แคเมรอน และจอร์จ มิลเลอร์ถึงกับกลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่อยู่ สรุปได้ว่า The Incredibles 2 สนุกเกินคาดมากมายเนื่องจากพล็อตเรื่องที่เข้ากับสังคมยุคใหม่ แม้แต่ใครที่ไม่เคยดูภาคแรกก็สามารถดูภาคนี้ได้รู้เรื่อง รวมทั้งสนุกไปกับหนังได้ และขอรับรองว่าฝีมือด้านเทคนิคในการสร้างหนังแอนิเมชั่นของ Incredibles 2 จะไม่ทำให้คุณผิดหวังอย่างแน่นอน
ภาพยนต์: Ant-Man and the Wasp แอนท์-แมน และ เดอะ วอสพ์
เผยแพร่: 6 กรกฎาคม
นำแสดงโดย: พอล รัด, อีแวนเจไลน์ ลิลลี, ไมเคิล ดักลาส และไมเคิล พีนา
ผู้อำนวยการสร้าง: เพย์ตัน รีด
จากมนุษย์มดภาคแรกที่มีบุคลิกซุกซนและเฉลียวฉลาด ตามเแบบฉบับตัวละครของมาร์เวลนั้น เริ่มต้นเปิดฉากทักทายผู้ชมด้วยการหดตัวที่นำแสดงโดยสก็อตต์ แลงก์ พร้อมกับโฉมหน้าครอบครัวขนาดใหญ่ และนักโจรกรรมทั้งหลายที่เป็นเพื่อนของเจ้ามนุษย์มดนั่นเอง การดำเนินเรื่องเต็มไปด้วยสถานการณ์ชวนหัวปั่นและฮา อีกทั้งยังเคล้ากลิ่นอายของความโรแมนติกอยู่เนืองๆ
แต่ถึงอย่างนั้นหนังในตระกูลมาร์เวลก็มาในแนวซิทคอมหยอกล้อด้วยความกวนอย่างเช่น ไทก้า วาติติ ผู้กำภาพยนต์เรื่อง Thor: Ragnarokwas ศึกอวสานเทพเจ้าที่มาในเป็นเทพเจ้าในโหมดบันเทิงไร้ความจริงจังใดๆ ทำให้นึกถึงหนังแนวนี้อีกเรื่องนั่นก็คือ Ghostbusters หนังผีที่ไร้ความน่ากลัวใดๆ แถมยังมอบความบันเทิงให้กับคนดูได้ตลอดทั้งเรื่อง
Radd (รัดด์) มีแนวทางการแสดงที่ปั่นโลกและสร้างความกวนได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะซีนที่ถูกแย่งไปโดยไมเคิล พีน่า (Michael Pena) ซึ่งขึ้นชื่อเรื่องก็ขโมยซีนอยู่แล้ว และเพย์ตัน รีด (Peyton Reed) ผู้กำกับของเรื่องนี้ ที่สร้างตัวละครให้ง่ายต่อการเข้าถึง และสามารถคาดเดาสถานการณ์ต่างๆ ได้ ทำให้เป็นภาพยนต์สบายๆที่ดูได้กันทั้งครอบครัว
ภาพยนต์: A Quiet Place ดินแดนไร้เสียง
เผยแพร่: 6 เมษายน
นำแสดงโดย: เอมิลี บลันต์, จอห์น คราซินสกี้, มิลลิเซนต์ ซิมมอนด์ส และโนอาห์ จูป
ผู้อำนวยการสร้าง: เพย์ตัน รีด
ต้องชื่นชมไบรอัน วู้ด และสก็อตต์ เบ็คเจ้าของเรื่องและบทภาพยนตร์ที่เล่าเรื่องได้สนุกน่าสะพรึงตลอด 90 นาที และที่ต้องชื่นชมสุดๆ คือ จอห์น คราซินสกี ดาราตัวประกอบตลอดกาลที่ถือว่าเป็นงานก้าวกระโดดอย่างมาก เพราะจอห์นไม่เพียงแต่กำกับเท่านั้นแต่เขายังรับบทนำ รวมไปถึงแก้ไขบทสุดท้ายอีกด้วย
หนังเล่าเหตุการณ์สมมติในปี 2020 ครอบครัวแอบบอตต์มีพ่อ แม่ ลูกชาย และลูกสาวอาศัยอยู่ในฟาร์มข้าวโพด แต่ละวันต้องดำเนินชีวิตกันแบบไร้เสียง เพราะถ้ามีใครทำเสียงดังสิ่งลึกลับ และดุร้ายจะบุกมาคร่าชีวิตพวกเขา แล้วด้วยพลอตที่ว่าสิ่งลึกลับจะต้องปรากฏตัวถ้าหากมีเสียงดังเกิดขึ้นนี่เองที่จะทำบทภาพยนตร์สนุกขึ้น ในเรื่องก็เลยมีเหตุบังเอิญที่ทำให้มีเสียงดังอยู่บ่อยครั้ง เลยทำให้ทั้งครอบครัวต้องอยู่ในภาวะตระหนก และต้องเตรียมรับมือกับการมาของเจ้าสัตว์ลึกลับดังกล่าว
A Quiet Place คือหนังสยองขวัญที่ระทึกใจมาก ได้ทั้งความน่ากลัวโดยไม่ต้องเน้นขายตุ้งแช่ แถมดราม่าเล็กๆเกี่ยวกับเรื่องความรักในครอบครัวแสดงให้เห็นถึงความสามารถในการเล่าเรื่องได้เก่งมา จึงทำให้ไม่ไม่ต้องวิเคราะห์หรือตีความ ขายฉากสยองกันแบบตรงไปตรงมา เป็นหนังที่คอหนังสยองขวัญจะต้องพึงพอใจกันอย่างสุดๆแน่นอน ถ้าใครชอบฉากเงียบๆลุ้นๆแล้วล่ะก็ A Quiet Place มีให้คุณแบบจุใจลากกันยาวๆจัดเต็มกันไปเลย
ภาพยนต์: The commuter นรกใช้มาเกิด
เผยแพร่: 12 มกราคม
นำแสดงโดย: เลียม นีสัน, วีรา ฟาร์มิกา, แพทริค วิลสัน และโจนาธาน แบงก์ส
ผู้อำนวยการสร้าง: โจเม่ คอลเลต เซอร์ร่า
การกลับมาอีกครั้งของนักแสดงรุ่นเก๋าอย่างนีสันในภาพยนต์แนวแอคชั่นทริลเลอร์พร้อมกับผู้กำกับมากฝีมืออย่างคอลเลต เซอร์ร่าที่เคยฝากผลงานภาพยนต์แนวเดียวกันอย่างเช่น Non-Stop ที่ได้ตกกระไดพลอยโจรไปอยู่ในสถานการณ์ก่อการร้ายและลูกเมียถูกจับเป็นตัวประกัน โดยเรื่องนี้ The commuter เป็นการกลับมารวมตัวอีกครั้งของเขาทั้งสอง หากแต่เปลี่ยนโลเคชั่นเป็นรถไฟ ซึ่งเนื้อเรื่องชวนติดตามและลุ้นระทึกตามแบบฉบับนีสันเลยก็ว่าได้
เปิดฉากมาด้วยการที่เขาได้พูดคุยกับหญิงแปลกหน้าลึกลับคนนึง เขาได้ถูกบีบบังคับให้เปิดโปงตัวตนของผู้โดยสารคนหนึ่งก่อนจะถึงสถานีสุดท้ายโดยเรื่องราวที่เกิดขึ้นบนโบกี้นี้ เขาต้องปฏิบัติภารกิจสุดท้าทายนี้ให้สำเร็จก่อนจะถึงสถานีสุดท้าย
ไมเคิลกับสถานการณ์ที่ถูกบีบบังคับให้ทำภารกิจลับ ทำให้เขากลายเป็นส่วนหนึ่งของแผนร้ายวินาศกรรมที่ต้องเอาชีวิตของเขาและผู้โดยสารมาเป็นเมพันเพื่อแลกกับเงินที่ตนกำลังต้องการมันที่สุด
ภาพยนต์เรื่องนี้ทำให้นึกถึงความซับซ้อนของ Richard Matheson จากบทโทรทัศน์สัญชาติอเมริกันอย่าง A classic Twilight และความบ้าระห่ำของ Richard Kelley จากภาพยนต์เรื่อง The Box แต่ถึงอย่างนั้น ผู้กำกับสุดเจ๋งอย่างคอลเลต เซอร์ร่าเขาไม่ได้สนใจหรอกว่าบทที่เขาได้เขียนขึ้นมานั้นจะทำให้ผู้ชมนึกถึงตัวละครเรื่องไหน เขาเพียงแต่ต้องการจะถ่ายทอดความยิ่งใหญ่และซีนที่มีความผิดวิสัยแบบไม่กระโตกกระตาก อยู่ในเวลาเดียวกันอย่างลงตัว ทำให้บางฉากที่มีความตึงเครียดทำให้ไม่หนักจนเกินไป
ปริศนาลึกลับภายในเรื่องนี้สามารถขับเคลื่อนความกระหายใคร่รู้ซึ่งชวนติดตามและลุ้นระทึกไปจนถึงช่วงท้ายของเรื่อง แม้แต่ฉากแอคชั่นที่มีไม่มากนัก แต่ด้วยการออกแบบฉากที่ใช้เทคนิค Long take จึงทำให้สามารถหยุดลมหายใจได้เลยทีเดียว
หากชื่นชอบการไล่ล่าและการแก้แค้นที่ดุเดือดบนรถไฟ อย่าง Steven Seagal ที่แสดงไว้ในเรื่อง Siege 2: Dark Territor แล้วล่ะก็ จึงไม่มีเหตุผลใดเลยที่จะพลาดภาพยนต์เรื่อง The Commuter นี้
ภาพยนต์: Black Panther แบล็ค แพนเธอร์
เผยแพร่: 12 กุมภาพันธ์
นำแสดงโดย: แชดวิก โบสแมน, ไมเคิล บี จอร์แดน, ลูพีตา ญองอ และดาไน กูริรา
ผู้อำนวยการสร้าง: ไรอัน คู๊กเลอร์
เรื่องราวของกลไกต่างๆ วิทยาการล้ำสมัย การแย่งชิงบัลลังก์ของราชวงศ์ การโค่นล้มด้านการเมือง และแอคชั่นแนวแฟนตาซี ได้ถูกรวบรวมไว้อย่างเข้ากันด้วยความสามารถของผู้กำกับอย่างคู๊กเลอร์ เขาได้รังสรรค์ทุกอย่างให้มาอยู่ในเรื่อง Black Panther ที่มีความลึกซึ้งและทำออกมาได้อย่างยอดเยี่ยม ทั้งยังฉีกแนวออกมาจากโลกแห่งจักรวาลของตระกูลมาร์เวล ในขณะเดียวกันนั้น ภาพยนต์เรื่อง Creed ได้ถูกยกย่องว่ามีอิทธิพลในการขับเคลื่อน และริเริ่มวงการภาพยนต์ รวมถึงมีการผสมผสานศิลปะการต่อสู้อย่างเช่น ศิลปะมวยในเรื่อง Rockey ทั้งยังได้อิงเรื่องราวประวัติศาสตร์ชาติอเมริกาที่มีการดัดแปลง และสร้างเมืองขึ้นมาใหม่ โดยใช้ชื่อว่า วากานด้า ซึ่งถ่ายทอดออกมาให้เห็นในด้านของความขัดแย้งที่เกี่ยวกับอุดมการณ์ระหว่างฝ่าบาทเสือดำแห่งวากานด้า รับบทโดยแชดวิก โบสแมน และตัวร้ายมาดเท่อย่าง Erik Killmonger ที่รับบทโดยไมเคิล บี จอร์แดน
ภาพยนต์: Annihilation (แดนทำลายล้าง)
เผยแพร่: 23 กุมภาพันธ์
นำแสดงโดย: นาตาลี พอร์ตแมน, เจนนิเฟอร์ เจสัน ลีห์, จีน่า ร็อดริเกซและเทสซา ทอมป์สัน
ผู้อำนวยการสร้าง: อเล็กซ์ การ์แลนด์
Jeff VanderMeer นักเขียนแนวทฤษฎีจิตวิเคราะห์ เขาชื่นชอบวรรณกรรมแนวไซไฟ จึงได้เขียนบทภาพยนต์ให้ Alex Garland ได้กำกับหนังเรื่องดังกล่าว
Annihilation เป็นหนังที่พูดได้เต็มปากว่า สมกับเป็นหนังเอ็กคลูซีฟที่ดึงจุดเด่น และความสามารถของผู้กำกับฝีมือดีและมีโปรเจ็กต์เจ๋งๆ ที่ถึงแม้ว่ายังไม่ได้ถือว่าเป็นเบอร์ใหญ่มากก็ตามมาร่วมถ่ายทอดเรื่องราวในแบบฉบับตนเองได้นั้น ช่างเป็นอะไรที่สุดยอดจริงๆ และ Annihilation ก็เป็นหนังที่ดึงศักยภาพของผู้กำกับออกมาได้อย่างดีเยี่ยม เพราะอเล็กซ์ การ์แลนด์ คือผู้กำกับหนังไซไฟอินดี้ม้ามืด ด้วยสไตล์หนังแบบไซไฟผสมปรัชญาที่มีความหลอนไปกับบรรยากาศแล้วต้องยกให้การ์แลนด์เลยคนเดียวเท่านั้น เรื่องนี้จัดว่าดูเพื่อความบันเทิง และเรียกได้ว่าเป็นขั้วตรงข้ามของความรู้สึก สุข เศร้า เหงา ซึ้ง อันเป็นความต้องการพื้นฐานของมนุษย์ส่วนใหญ่ แต่ภาพอันสวยงามจับใจที่ได้เห็น หรือประเด็นอันน่าขบคิดจะเป็นสิ่งที่คุณได้รับจากหนังเรื่องนี้แน่นอน
ว่ากันที่ตัวบทหนัง จริงๆหลายคนบอกว่านี่เป็นหนังที่ต้องปีนกระไดดู เพราะหนังเชื่องช้า ดูยาก และเต็มไปด้วยคำถามที่ไม่มีคำตอบทั้งสิ้น แต่สำหรับผู้เขียนคิดว่าหนังเรื่องนี้ไม่จำเป็นต้องใช้กระไดปีนดูขนาดนั้น แต่ต้องใช้สมาธิและการวิเคราะห์ตีความ เพราะหนังไม่ได้เล่าเรื่องที่เข้าใจยาก หรือสับสนงุนงงในแง่การดำเนินเรื่องแต่อย่างใด แต่ยากสำหรับการตีความว่าหนังต้องการจะสื่อสารประเด็นใดผ่านสถานการณ์อันเป็นความอจินไตยในเรื่องต่างหาก
คล้ายกับกรณีของ 2001: A Space Odyssey (1968) หนังไซไฟชั้นครูของสแตนลีย์ คูบริกที่การเล่าเรื่องคล้ายหนังสั้น 3 เรื่อง ซึ่งในบทหนังก็ไม่ได้เข้าใจยาก แต่ด้วยความเชื่องช้าในการดำเนินเรื่องและปรัชญาผ่านสิ่งที่อธิบายไม่ได้ต่างหากที่เป็นอุปสรรคสำหรับคนดู
สำหรับคอไซไฟ หรือคอสยองขวัญ ถือว่าหนังเรื่องนี้ไม่ได้เข้าใจยากมากนัก หรือหากคุณไม่เข้าใจในตอนจบจริงๆก็คิดว่าเอาไว้เป็นเรื่องถกเถียงกับเพื่อน ก็คงจะได้ความสนุกอยู่ไม่เบา